Monday, 18 June 2012

ลุ้นบอลยูโรกันที่โปแลนด์| UEFA Euro 2012 in Warsaw, Poland

ทริปนี้ไม่มีการวางแผนอะไรทั้งนั้น หนึ่งคืนก่อนมาโทรศัพท์คุยกับเพื่อนว่าเสาร์อาทิตย์อากาศดีแต่ยังไม่มีอะไรทำ เพื่อนเลยบอกเราว่ามาดูบอลที่โปแลนด์มั้ย เท่านั้นแหละเชคตั๋วเครื่องบิน เก็บกระเป๋า (ตอน1ทุ่ม) ไปปาร์ตี้ (จนตีสาม) แล้วนั่นรถไฟไปสนามบิน (ตีสี่ครึ่ง) และเราก็มาถึงสนามบิน"วอร์ซอว์"เมืองหลวงของโปแลนด์ (ตอน9โมงเช้า) ตั้งแต่เที่ยวมาหลายต่อหลายรอบ ทริปนี้วุ่นวายฉุกละหุกที่สุดแล้ว ไม่รู้อะไรเลยซักอย่าง ไม่รู้แม้กระทั่งที่นี่ใช้เงินซวอตี้ จนกดเงินออกมาจากเอทีเอ็ม เฮ้ยยย! มันไม่ใช่เงินยูโรนี่หว่า ถึงกับต้องคิดเลขกันใหม่ยกใหญ่เลยค่ะ เฮ้ออออ ไม่ได้รู้อะไรเลยจริงๆ รู้แค่ว่ามันมีแข่งบอลยูโรกันที่นี่

พอออกมากจากสนามบินก็ตรงเข้าเมืองกันเลยค่ะ เที่ยวให้ทั่ววันนี้ไม่ต้องนอนหรอกบรรยากาศในเมืองวอร์ซอก็ครึกครื้นสนุกสนาน ผู้คนเต็มไปหมดเพราะที่นี่เป็นที่ตั้งของสนามแข่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโปแลนด์ สถานที่แรกสำคัญที่สุดที่ต้องไปเลยก็คือออฟฟิตการท่องเที่ยวค่ะ เพราะไม่ได้มีความรู้ ไม่ได้วางแพลนอะไรเลยอย่างที่บอกไปแล้ว และก็ไปเดินเล่นในเมืองเพลินๆดีดูนู่นดูนี่ไปเรื่อยเปื่อย เราว่าการจัดการบ้านเมืองเค้าทำได้ดีทีเดียวเลยแหละ ไม่ได้น่ากลัวแบบที่คิดเอาไว้ตอนแรก ที่ชอบมาที่สุดเลยคือตึกรามบ้านช่องที่นี่สวยมากๆแถมอากาศดีสุดๆ

ตึกสัญลักษณ์เมืองวอร์ซอว์ ตั้งอยู่กลางจตุรัสในกลางเมือง
สามารถขึ้นเป็นชมวิวเมืองวอร์ซอว์ได้ข้างบนชั้น 30 
ก่อนขึ้นไปชมวิวบนชั้น30 แวะจัดกาแฟซักแก้วกันก่อน

ขึ้นมาถึงบ้างบนแล้วมองเห็นวิวสนามวอร์ซอว์ด้วย สนามนี้เป็นสนามที่ใหญ่ที่สุด จุแฟนบอลได้ถึงเจ็ดหมื่นคน

สำหรับใครที่อยากซื้อตั๋วเข้าไปชมฟุตบอลในสนามก็ยังพอหาได้ตามถนนในเมือง ราคาก็ต่างกันไปเริ่มจาก 100 ยูโรไปจนถึง 500 ยูโรนอกจากในสนามแข่งแล้ว ใจกลางเมืองวอร์ซอเค้ายังจัด Fan Zone ที่ไว้ให้คนมาดูมาเชียร์บอลด้วยกัน ซึ่งมันใหญ่มาก เราขึ้นไปบนตึกกลางเมืองแล้วมองลงมา โอ้โหกว้างมากจิงๆ คือเอาพื้นที่ทั้งหมดของจตุรัสกลางเมืองมาทำเป็นแฟนโซนกันเลยก็ว่าได้ นอกจากนั้นบ้านเมืองตึกต่างๆร้านค้าเล็กใหญ่ก็พากันตกแต่งให้เข้ากะบรรยากาศของบอลยูโร ไม่เว้นแม้กระทั่งบรรดารูปปั้นนางเงือกในเมือง เมืองวอร์ซอเนี่ยเค้ามีตำนานเกี่ยวกับนางเงือกค่ะประมาณว่านางเงือกว่ายน้ำมาจากทะเลบอลติคแล้วล่องมาตามแม่น้ำจนถึงที่วอร์ซอ แล้วบรรดานางเงือกก็พากันร้องเพลง จนชาวประมงเกิดหลงรักเลยลักพาตัวพวกนางเงือกเอาไว้ มีชาวประมงอีกกลุ่มนึงสงสารเหล่านางเงือกเลยช่วยนางให้เป็นอิสระ จนต่อมานางเงือกพวกนี่เลยต้องป้องกันตัวเองด้วยดาบและโล่ห์ ก็เลยกลายเป็นตำนานนางเงือกและที่มาของรูปปั้นนางเงือกถือโล่ห์อยู่รอบๆเมือง แต่วันนี้เหล่านางเงือกพวกนั้นไม่ได้ถืออาวุธแค่โล่ห์นะคะ นางยังถือลูกบอลยูโรแทน แถมประดับด้วยธงชาติของแต่ละประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ด้วยค่ะ

มองลงมาด้านล่างจะเป็นส่วนของแฟนโซนที่ตั้งล้อมรอบตึก มีสกรีนกระจายอยู่รอบๆทั้งหมด 6 จุด
มีแสตนเชียร์ เวที อาหาร เครื่องดื่ม ห้องน้ำพร้อม สำหรับแฟนบอลที่ไม่ได้เข้าไปดูในสนาม

ประตูทางเข้าแฟนโซน มีการตรวจร่างการกันเข้มงวดเลยทีเดียวค่ะ

ยังกลางวันอยู่คนยังไม่เยอะ บนสกรีนก็มีรีรันแมชต์ต่างๆไปเรื่อยๆสลับกับการแสดงต่างๆตลอดทั้งวัน


ออกมาจากแฟนโซนมาดูบรรยากาศรอบๆเมืองบ้าง
ตึกต่างๆในเมืองก็พากันตกแต่งให้เข้ากับบรรยากาศบอลยูโร


ระหว่างทางเดินไปโอลด์ทาวน์ ก็เจอลูกบอลอันเบ้อเริ่มวางอยู่กลางวงเวียน
สิงโตหน้าบ้านประธานาธิบดียังผูกผ้าพันคอทีมโปแลนด์เลย

มาสคอตงานบอลยูโรโปแลนด์-ยูเครนตามสีธงชาติ ยืนต้อนรับแขกอยู่ระเบียงบ้านประธานาธิบดี

นางเงือกประจำเมืองวอร์ซอร์ก็ถูกตกแต่งให้เข้ากับบบรยากาศ
แต่ละประเทศก็จะมีนางเงือกเป็นของตัวเอง กระจายอยู่รอบๆเมือง

 มาเที่ยวคราวนี้นอกจากจะมาซึมซับบรรยากาศฟุตบอลยูโรแล้ว เรายังจัดหนักเรื่องอาหารการกินค่ะ กินกันไม่ยั้งทั้งเบียร์ทั้งของคาวของหวานตลอดทั้งวัน เอาให้อิ่มแบบที่กลับไปสวิสก็ไม่ต้องกินอะไรกันแล้วเพราะค่าครองชีพที่นี่ถูกกว่าที่สวิสถึง4เท่า!!! จัดให้หนักกันเลยมื้อแรกที่ไปทานก็เป็นอาหารท้องถิ่นของโปแลนด์ค่ะ คือซุปที่มาในถ้วยขนมปังข้างในก็จะมีไข่ต้ม เห็ด หัวหอม เนื้อบดเล็กๆ พริกไทยดำ เรียกว่าอะไรไม่รู้แต่มันอร่อยมาก และต่อมาอาหารหลักก็คือ Polish Dumpling อารมณ์เหมือนเกี๊ยวซ่าแต่มีไส้ต่างกันไปตามแต่ละสูตรแต่ละร้านค่ะ สุดท้ายเมนูหลักขาดไม่ได้เลยก็คือเบียร์ค่ะ เบียร์วันนี้เป็น House Beer ของที่ร้านค่ะรสชาติผ่านค่ะ หอมฟองนุ่มๆ

ซุปพื้นเมืองของโปแลนด์ค่ะเสริฟในถ้วยขนมปัง รสชาติกลมกล่อมมาก

เมนคอร์ส หน้าตาเหมือนเกี๊ยวซ่าเลยว่าม่ะ

ที่ขาดไม่ได้เลยคือเบียร์ แฮ่ๆ 
ข้างๆโต๊ะอาหารที่เรานั่ง มันสวยจริงๆใช่ม่ะ หรือว่าเราคิดไปเอาว่ามันสวย? 

พอทานข้้าวอิ่มปุ๊ป คราวนี้ความง่วงก็เริ่มถามหาแระทำไงหล่ะทีนี้ อากาศดีดีแดดสวยๆแบบนี้ ต้องไปหาปาร์คนอนกลิ้งให้หายง่ววงดีกว่า เดินไปเดินมาไม่ถึงไหนก็เจอสวนใหญ่ใจกลางโอลด์ทาวน์ ซื้อไอติมกินให้หายร้อยแล้วไปนั่งเล่นในสวนกันดีกว่า

บรรยากาศร่มรื่นมากๆ เคลิ้มหลับใต้ต้นไม้นี่แหละสวรรค์สุดๆ

บรรยากาศเริศเลอ สวนสวยๆ ฟ้าสวยๆ ที่วอร์ซอว์
พอพักจนหายเหนื่อยหหายง่วงกันเรียบร้อยแล้วเราก็เดินกันต่อ นี่ยังไม่ถึงครึ่งเมืองเลยเฮ้ออออออ เดินมาไกลมาก เริ่มรู้สึกว่าแดดร้อนขึ้นเรื่อยๆ ขาเริ่มหมดแรงอีกแล้ว นึกในใจทำไมไม่นั่งรถบัสมา แต่พอมาถึงโอลด์ทาวน์สแควร์เท่านั้นแหละ โอ้โห ว้าววววววววว หายเหนื่อยเลย

มันสวยมีเสน่ห์อลังการน่าค้นหาจิงๆ บรรยากาศในเมืองก็เริ่มคึกคัก เพราะใกล้เวลาแข่งบอลเข้าไปทุกที
แฟนแต่ละทีมก็เดินออกมาร้องเพลงเชียร์กัน สร้างกำลังใจ หรือโต้ตอบกะทีมคู่แข่งบ้าง นั่งมองอยู่กลางสแควร์แล้วก็สนุกดี
The Royal Castle ตำนานความเป็นมาว่ายังไงเราไม่รู้แต่รู้ว่ามันสวยติดตามาก
ผู้คนออกมาเดินเล่นทำกิจกรรมต่างๆมากมายกันเต็มไปหมด 
จากโอลด์ทาวน์สแควร์ก็มองเห็น Warsaw Stadium เหมือนกัน
วันนี้แม้จะเหนื่อยและยังไม่ได้นอน แต่ก็มีความสุขและก็ประทับใจมากๆ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าวอร์ซอว์จะสวยได้ขนาดนี้ เรายังอยู่ที่นี่อีกหลายวัน วันนี้เลยเลยตัดสินใจงดดูบอลหนึ่งวันเก็บแรงเอาไว้ไปเที่ยวต่อพรุ่งนี้ที่ Poznan แล้วเจอกันค่ะ






Wednesday, 30 May 2012

รถไฟสวิส Ep.2 ตอนดูตารางรถไฟ

จากคราวที่แล้วคุยกันไปเรื่องรถไฟสวิสว่ามันมีแบบไหนอะไรยังไงบ้างน่านั่งเล่นชิลๆชมวิวแค่ไหน วันนี้เราจะมาดูวิธีการดูตารางรถไฟค่ะ ไม่หลงในสถานนีรถไฟแน่นอนค่ะ ง่ายมว๊ากกกก อย่างแรกเลยโหลด App ค่ะ สมัยนี้ไม่ต้องพกสมุดเป็นเล่มๆเอาไว้ดูตารางรถไฟแล้วหมดยุคนั้นไปแล้วค่ะ การรถไฟที่นี่นอกจากเชคตารางรถไฟได้จากอินเตอร์เน็ตแล้ว ยังไม่พอคะเค้ายังมีแอพฟรีสามรถเชครถไฟที่เราจะขึ้นได้ง่ายๆจากมือถือเราเลยแหละ เราบอกได้เลยนะคะวา่แอพเนี่ยช่วยได้มากๆเลยค่ะ ใครแพลนจะมาเที่ยวที่นี่โหลดเอาไว้ลองเล่นก่อนได้เลยค่ะ ง่ายๆแค่เสริชว่า SBB Mobile ค่ะ

หน้าตาของ SBB ใน App Store ไม่ต้องคิดมากค่ะ โหลดเลย ได้ใช้แน่นอน  

พอเปิดเข้ามาหน้าแรกก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ 

แอพนี้สามารถเชคระบบการขนส่งของสวิสได้ทุกประเภทค่ะ ไม่ว่าจะเป็น รถไฟ รถบัส เรือ แทรม เมโทร ของทุกเมือง เคเบิ้ลคาร์ขึ้นภูเขา แม้กระทั่งรถไฟจากต่างประเทศหรือรถไฟจากสวิสไปประเทศอื่นๆที่วิ่งผ่านสวิสค่ะ เพียงแค่ระบุสถานที่ต้นทาง และสถานีปลายทาง แล้วคลิ๊กที่ Search Connection มันก็จะโชว์ผลออกมากว่าเราควรจะต้องขึ้นรถไฟอะไรบ้างค่ะ ยิ่งไปว่านั้นเรายังเลือกระบุวันเวลาที่เราจะออกเดินทาง หรือที่เราต้องการจะไปถึงแล้วให้มันแสดงผลออกมาว่าอะไรบ้างได้ด้วยค่ะ

วันนี้เราลองเลือกไปซูริคจากเบิร์นกันนะคะ

พอ เสริชแล้วก็จะโชว์ตารางรถไฟที่เราสามรถไปซูริคได้จากเบิร์นค่ะ เวลาออกเดินทาง ระยะเวลาในการเดินทาง เวลาที่จะถึง จำนวนครั้งในการต่อรถ ขึ้นจากชานชลาที่เท่่าไหร่ในสถานนีนั้นๆนะคะ รวมถึงคาดการณ์ความหนาแน่ให้เราล่วงหน้าด้วยค่ะ เจ๋งม่ะ ส่วนตัวแดงๆที่ขึ้นหมายความว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงให้เชคกะสถานีหรือรอฟังประกาศในรถไฟอีกทีค่ะ

แสดงรายละเอียดของรถไฟที่เราต้องการจะไปค่ะ

หน้านี้แสดงว่าคอนเนคชั่นนั้นต้องต่อรถไฟยังไงบ้าง
พอเราเลือกแล้วว่าเราจะออกเดินทางตอน 21:02 (หมายถึงรถไฟจะออกจากเบิร์นตอนสามทุ่มสองนาทีค่ะ แต่อาจจะมาจอดก่อนหน้านั้นกี่นาทีก็ได้ สามทุ่มสองนาทีก็คือสองนาทีจริงๆนะคะ ตรงเป๊ะเป็นหลักวินาทีค่ะ) พอกดเข้าไปดูรายละเอียดของรถไฟเราก็จะเห็นว่าเป็นรถไฟแบบ IC ค่ะ จะถึงซูริคกี่โมงที่แพลทฟอร์มไหน และการบริการบนรถไฟมีอะไรบ้างก็ว่าไปตามที่เค้าแจ้งเอาไว้ค่ะ ถ้าไม่ชอบใจขบวนนี้เวลาไม่ตรงกับที่คิดไว้เราก็เลือกไปคอนเนคชั่นอันอื่นก็ได้ค่ะ ถ้าคอนเนคชั่นที่เราเลือกมีการต่อรถไฟ ไม่ว่าจะต้องต่อรถไฟกี่ครั้งก็ตามแอพก็จะแสดงผลให้เราเห็นรายละเอียดทั้งหมดค่ะว่าจะต้องต่อรถไฟอะไรกี่โมงที่แพลทฟอร์มไหนบ้าง เราแค่ไปให้ทันเวลารถไฟออกก็ไม่ตกรถไฟแล้วค่ะ ง่ายเวอร์



นอกจากนั้นยังมีฟังก์ชั่นเสริม เราสามรถเก็บรถไฟเที่ยวนั้นเข้าไปในปฏิทินของเราได้ ยิ่งถ้าใครมี iCloud ยิ่งง่ายค่ะเชคที่บ้านในคอมจากอินเน็ตแล้วซิงค์เข้าโทรศัพท์เก็บเอาไว้ดูเวลา/ชานชลาที่เปลี่ยนรถ หรือจะดูรายละเอียดอื่นๆของรถไฟที่เราจะขึ้นก็ได้เหมือนกันค่ะ ระเอียดพอๆกับเปิดจากในแอพเลย สะดวกสุดๆ แต่ให้ระวังคนที่บ้านเอาไว้นะคะใช้ iCloud Account เดียวกัน แล้วเผลอเปลี่ยนเส้นทางการเดินทาง ฮ่าๆ รู้หมดแน่นอนค่ะ 



ฟังก์ชั่นเสริมอีกอย่างนึงค่ะคือถ้าเราเลือกเข้าไปดูรายละเอียดต่อจาหน้าเมื่อตะกี๊ ก็จะเป็นหน้าแสดงผลว่ารถไฟขบวนนี้เริ่มมาจากสถานนีไหน ตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว (จุดแดงๆค่ะ มันจะกระพริบและเลื่อนได้ตามการวิ่งของรถไฟจริงๆ) และจะไปถึงที่ไหนบ้างเป็นเวลากี่โมง ละเอียดยิบตลอดสายตั้งแต่สถานีแรกจนสถานีสุดท้ายค่ะ

หลายคนคงสงสัยว่าถ้าไม่มีสมาร์ทโฟน โหลดแอพไม่ได้ ไม่มีอินเตอร์เนตจะทำยังไง สถานีรถไฟที่นี่ก็เหมือนสถานีรถไฟปกติค่ะ มีตารางการเดินทางของรถไฟทั้งหมดที่สถานีนั้นๆโชว์ขึ้นชาร์ทตลอดเวลาเปลี่ยนตลอดเวลา เราก็แค่ดูว่าเราต้องการจะไปไหนก็ดูเวลาและก็ดูชานชลาที่จะต้องไปขึ้นค่ะ แต่มันอาจจะงงตาลายหาสถานีที่เราจะไปไม่เจอ ก็แนะนำให้เดินเข้าออฟฟิตค่ะ จะมีพนักงานบริการอยู่ ถ้าใครที่ไม่อยากไปต่อคิวถามพนักงานในออฟฟิต (เฉพาะสถานีใหญ่ๆ) จะมีคอมพิวเตอร์เอาไว้ให้เราสามรถเชคตารางรถไฟจากอินเตอร์เนตได้ด้วยค่ะ นอกจากชาร์ทอนาล็อคที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเวลาแบบในรูปข้างล่างแล้ว ในแต่ละสถานียังมีตารางดิจิติลที่มีกระจายอยู่ทั่วสถานีค่ะ และก็มีประกาศเกี่ยวกัยรถไฟเข้า-ออกในสถานีอยู่เรื่อยทั้งวันเป็นภาษาเยอรมัน และที่ชานชลาแต่ละแทรกก็จะมีป้ายขึ้นว่ารถไฟที่กะลังจะมาไปไหนบ้างออกกี่โมงค่ะ เอาไว้รีเชคอีกทีเพื่อความแน่ใจว่าขึ้นรถไฟถูกขบวนแน่นอน ชัวร์!

อีกหนึ่งวิธีเชครถไฟค่ะ ง่ายๆเข้าไป www.SBB.ch ก็จะเจอหน้านี้
ฟังก์ชั่นเหมือนกันกับแอพในสมาร์ทโฟนเป๊ะค่ะ 

หรือไปยืนตรงนี้ รอดูชาร์ทตารางรถไฟมันเปลี่ยนไปมาก็คลาสสิคดีนะคะ

ในชาร์ทก็จะบอกเวลา ประเภทรถไฟ สถานีที่จะไป และสถานีใหญ่ๆที่จะผ่าน รวมถึงชานชลาที่รถไฟจะจอดค่ะ

แต่การมาเชคตารางรถไฟที่สถานนีรถไฟแบบนี้มันไม่ดีตรงที่มันไม่มีการวางแผนการเดินทางค่ะ เราอาจจะมาถึงสถานีและพลาดรถไฟที่เพิ่งออกไปเมื่อนาทีที่แล้วก็ได้ ซึ่งอาจจะต้องรอรถไฟขบวนหน้าอีก 20 นาที แต่ถ้าใช้แอพเราก็สมามารถเชคได้ทุกที่ทุกเวลา เวลาแผนการเดินทางได้เป็นระบบตลอดเวลาค่ะ คนที่นี่เค้าวางแผนการเดินทางกันข้ามวัน ขนาดที่ว่าเอาตารางรถไฟเที่ยวแรกที่จะขึ้นตอนเช้าเป็นตัวกำหนดเวลาที่จะต้องตื่นจะต้องออกจากบ้านกันเลยทีเดียวค่ะ

รู้ว่าจะต้องขึ้นรถไฟกี่โมงที่ไหนแล้ว คราวหน้าเราไปซื้อตั๋วกันนะคะ เตรียมนับสตางค์เอาไว้ดีดีแล้วกันค่ะ


















Sunday, 27 May 2012

รถไฟสวิส ปู๊นนนนน ปู๊นน Ep.1

หลายต่อหลายคนที่มาเที่ยวสวิสก็มักจะต้องประทับใจกับการเดินทางที่แสนจะสะดวกสบายที่นี่ค่ะ วันนี้เราก็เลยถือโอกาสคุยเรื่องรถไฟสวิสซะเลย ระบบการขนส่งโดยรถไฟของสวิสเนี่ยนะคะ ถือได้ว่าปลอดภัย มั่นคง เชื่อใจได้ ทันสมัย สะดวกสบาย และทั่วถึงเป็นอันดับต้นๆของโลกเลยนะคะ เราจะไม่พูดเรื่องความเร็วนะคะเพราะจะทำรถไฟที่เร็วแบบเตเจเว ยูโรสตาร์ หรือว่าชินคันเซ็นของญี่ปุ่นทำไม ก็ประเทศสวิสเซอร์แลนด์มีเนื้อที่อยู่กระปิ๊ดดดเดียว เดินทางจากเมืองนึงไปเมืองนึงส่วนใหญ่ก็จะใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง นานที่สุดก็น่าจะสี่ชั่วโมง และอีกอย่างที่เราจะไม่พูดถึงกันในวันนี้ก็คือเราจะไม่บอกว่ารถไฟที่นี่ถูกค่ะ เอาเป็นว่าคุณภาพสมราคาแล้วกันเนอะ

ด้านหน้าของสถานีรถไฟบาเซิลค่ะ สถานีรถไฟในเมืองใหญ่ๆที่นี่ก็จะหน้าตาคล้ายๆกันนี่แหละค่ะ

เริ่มจากชื่อก่อนเลยค่ะ รถไฟที่สวิสเค้ามีชื่อว่า SBB CFF FFS โอ๊ยยยย ยาวเนอะ ทำไมต้องยาวขนาดนี้ด้วย ที่มันต้องยาวขนาดนี้เพราะสวิสมีภาษาราชการอยู่หลายภาษาค่ะ ตัวหนังสือทั้งหมดนั้นก็คือตัวย่อของการรถไฟสวิสที่เป็นภาษาเยอรมัน ภาษาฝรั่งเศส และก็ภาษาอิตาลีค่ะ

หน้าตานาฬิกาที่สถานีรถไฟสวิสเหมือนกันทุกที่ ดีไซน์โดย Mondine Watch Group ค่ะ
รถไฟที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ก็น่านั่งมากๆค่ะ ไม่ต้องยืนเบียด หรือว่าจองที่นั่งก่อน รับรองได้ว่ามีที่นั่งเพียบพอสำหรับทุกคนค่ะ รถไฟกลุ่มแรกที่เราจะพูดถึงก็จะเป็นพวก Regio (R) กะ S-Bahn (S) รถไฟสองแบบนี้จะค่อนข้างช้าหน่อยค่ะเพราะจอดทุกสถานีเป็นรถไฟท้องถิ่นของแต่ละภูมิภาค/เมืองนั้นๆค่ะ

S-Bahn ของเบิร์นค่ะ
รถไฟ Regio จาก Visp-Zermatt มีกระจกใสๆข้างบนเอาไว้ชมวิวระหว่างทาง

ต่อมาก็จะเป็น Regio Express(RE) และก้อ InterRegio (IR) ซึ่งเป็นรถไฟที่ใช้ในแต่ละภูมิภาคเหมือนกันค่ะ แต่จะเร็วกว่ารถไฟแบบแรกหน่อย คือจอดแต่สถานีหลักๆในแต่ละภูมิภาคนั้นๆ หน้าตาก็เหมือนรถไฟประเภทแรก แค่จอดเป็นบางสถานีแค่นั้นเอง รถไฟแบบที่สาม  InterCity (IC) เป็นรถไฟที่ใช้วิ่งระหว่างเมืองใหญ่ๆข้ามภูมิภาคกัน อย่างเช่น เบิร์น-ซูริค หรือ เบิร์น-เจเนฟ หน้าตาของรถไฟประเภทนี้ก็จะเป็นรถไฟสองชั้นที่มีตู้ของห้องอาหารอยู่กึ่งกลางขบวน


รถไฟ IC เป็นรถไฟสองชั้นมีร้านอาหารอยู่กลางขบวนค่ะ
หน้าตาของ ICN ค่ะ มันก็ดูเหมือนว่าจะวิ่งได้เร็วกว่าเนอะ ส่วนเร็วกว่าเท่าไหร่นั้นเราก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ค่ะ แฮ่~


บรรยากาศที่นั่งบนชั้นสองของ IC ค่ะ

 แบบที่สี่ InterCity Tilting Train (ICN) มันก็คือรถไฟแบบเดียวกะ IC แหละค่ะที่วิ่งระหว่างเมือง แต่ใช้เครื่องไม่เหมือนกัน และ ICN ก็จะมีความเร็วมากกว่าด้วย รถไฟแบบสุดท้ายที่จะเอามาเล่าให้ฟัง คือ EuroCity (EC) เป็นรถไฟที่เราชอบมากที่สุดเพราะข้างในให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในเครื่องบินเลย รถไฟแบบนี้เอาไว้ใช้วิ่งระหว่างเมืองใหญ่ๆ เลยไปถึงเมืองต่างๆของประเทศในยุโรปด้วยค่ะ


หัวขบวนสวยเฉี่ยยวของ EuroCity

เบาะใน EC นั่งสบายมากเลยค่ะ แถมปรับเบาะเอนได้ด้วย
บรรยากาศข้างใน EC ค่ะ ส่วนใหญ่คนจะเยอะมากเต็มเกือบทุกที่นั่ง
ที่พิเศษไปกว่านั้นของรถไฟ EC ก็คือเค้าจะมีสกรีนขึ้นโชว์แผนที่สามมิติตลอดระยะทางที่รถไฟกะลังวิ่งอยู่ตามกูเกิ้ลแมพค่ะ และก็สามรถจองที่นั่งได้ถ้าเดินทางระหว่างประเทศค่ะ แถมยังมีไฟอ่านหนังสือระบบสัมผัสอยู่ตรงกลางระหว่างเบาะที่นั่งด้วยด้วยค่ะ ส่วนฟังก์ชั่นอื่นๆที่มีเหมือนๆกันในรถไฟทุกประเภท (ยกเว้นรถไฟในภูมิภาค/เมือง ที่จอดทุกสถานีนะคะ) ก็คือจะมีปลั๊คไฟให้ใช้อยู่ใกล้ๆแทบทุกที่นั่งค่ะ และก็มีโต๊ะเล็กๆที่พับเก็บได้เอาไว้ทำงาน วางของ หรือทานอาหารอยู่ทุกที่นั่ง แถมระหว่างการเดินทางยังมีพนักงานเข็นรถอาหารเครื่องดื่มมาให้เราได้ใช้เงินถึงที่เลยค่ะ และสำคัญที่สุดคือห้องน้ำค่ะ รถไฟสวิสทุก ขบวนมีห้องน้ำที่สะอาดมากค่ะ เราก็เลยถือคติว่าก่อนจะถึงที่หมายซัก 10 นาทีจะต้องเข้าห้องน้ำก่อนจะได้ไม่ต้องไปวุ่นวายหาห้องน้ำเวลาไปเที่ยวค่ะ

โต๊ะทำงานเล็กๆพับเก็บได้ค่ะใน IC ค่ะ

ปลั๊คไฟอยู่ข้างบนค่ะ ชาร์จได้ตลอดเวลาไม่ต้องกลัวแบตหมด

รถไฟที่เอามาเล่าให้ฟังวันนี้ทั้งหมดเป็นรถไฟของสวิสนะคะ แต่การรถไฟสวิสไม่ได้ให้บริการเฉพาะรถไฟของสวิสเท่านั้นนะ รถไฟจากฝรั่งเศสอย่าง TGV หรือ  Deutsche Bahn (DE) กะ Intercity Express (ICE) ของเยอรมันก็มาวิ่งอยู่ที่สวิสให้เราได้นั่งเล่นอยู่บ่อยๆค่ะแต่ยังไงในความรู้สึกเรารถไฟสวิสก็ดีว่าอยู่ดีค่ะ
สุดท้ายโฆษณาตัวใหม่ของ SBB ค่ะคอนเซ็ปก็คือบ้านไปที่ไหนๆมาพอกลับมาที่รถไฟก็เหมือนเป็นบ้านค่ะ เราว่าไอเดียเค้าน่ารักเชียวเลยเอามาฝากให้ดูกันนะคะ



คราวหน้าจะมาเล่าให้ฟังว่าวิธีการใช้รถไฟที่นี่มันแสนจะง่ายและสะดวกสบายกับชีวิตประจำวันแค่ไหนค่ะ








Thursday, 17 May 2012

ตามหาภูเขา Toblerone

วันนี้ตื่นขึ้นมาเช็คอากาศ เป็นวันที่ร้อนที่สุดตั้งแต่มาอยู่ที่สวิสแล้วค่ะ  วัดได้ 29 องศาที่สวิสเซอร์แลนด์ หลังจากฝนตกมาเนิ่นนาน ในที่สุดฟ้าก็ใสปิ๊งซักที แดดร้อนจัด ไม่มีเมฆเลยซักกะนิดเดียว คนนี่นี่ก็ตื่นเต้นกันใหญ่ พากันออกมานั่งอาบแดด กระโดดน้ำในแม่น้ำบ้าง ปิ้งบาร์บีคิวในสวนหน้าบ้านบ้าง แต่อากาศดีแบบนี้เราตัดสินใจไปขึ้นภูเขาอีกแล้วค่ะ หลังจากคราวก่อนนู้นไปพิลาตุสแล้วฝนตกมองไม่เห็นอะไรเลย คราวนี้แก้ตัวใหม่ เราจะไปตามหาภูเขาทอปบาโรนกันค่ะ ใช่แล้วค่ะ! ไอชอคโกแลตรูปสามเหลื่ยมที่คนเค้ารู้จักกันทั่วโลกหล่ะแหละ ว่ากันว่าคนที่คิดมันขึ้นมาได้แรงบันดาลใจมาจากภูเขาลูกนี้ "Matterhorn"


มัธเทอร์ฮอร์น เป็นภูเขาที่อยู่ทางใต้ของสวิสฝั่งบอร์เดอร์สวิสอิตาลีในเมือง Zermatt ค่ะ แต่ก็ยังอยู่ในเทือกเขาแอลป์เหมือนกันกะภูเขาลูกอื่นๆค่ะ มีความสูงอยู่ที่ 4,478 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปีค่ะ ครั้งนี้เราไม่ได้ไปปืนมัธเทอร์ฮอร์นะคะ พลังไม่พอแต่เราจะนั่งรถไฟชิลๆ ไปภูเขายอดข้างๆแล้วก็เฝ้ามองมัธเทอร์ฮอร์นห่างๆก็พอเนอะ


การเดินทางวันนี้เราตื่นเช้ากันหน่อย เริ่มจากที่เบิร์นตอนเก้าโมงเช้านั่งรถไฟไปลงที่ Visp แล้วต่อรถไฟหวานเย็นไปที่แซมัธค่ะ เรายังไม่เดินเที่ยวในแซมัธนะคะ ค่อยกลับมาตอนเย็น จากนั้นซื้อตั๋วรถไฟอีกรอบของเอกชนขึ้นไปดูมัธเทอร์ฮอร์นที่ Gornergrat ด้วยราคา 40 ฟรังก์ค่ะ จากราคาเต็ม 80 ฟรังก์ แต่คนที่ถือบัตร Swiss Pass หรือตั๋วรถไฟประเภทต่างๆที่สวิสจะได้ลดราคาครึ่งนึงเลยค่ะ ตามแพลนเราจะไปถึงกอร์นเนอร์การ์ดประมาณเกือบๆเที่ยงค่ะ

ระหว่างทางก่อนถึงแซมัธก็จะมีวิวทุ่งหญ้า ภูเขา น้ำตก ให้นั่งดูเพลินๆตลอดทางค่ะ



พอถึงแซมัธแล้วดีใจน้ำตาแทบไหล มีคำว่ายินดีต้อนรับเป็นภาษาไทยด้วย ซึ่งมันหาดูได้ยากมากจิงๆค่ะ


ตั๋วรถไฟจากแซมัธขึ้นไปกอร์นเนอร์การ์ดค่ะ ฮึ่มๆ 40 ฟรังก์ ซีดกันเลยทีเดียว


ก่อนที่จะขึ้นรถไฟก็ต้องสแกนบัตรกันก่อนนะคะ อีกหนึ่งอย่างที่หาดูได้ยากในสวิส
เพราะส่วนใหญ่สถานีรถไฟไม่มีเครื่องกั้นค่ะ ซื้อตั๋วแล้วขึ้นได้เลย


หน้าตารถไฟที่เราจะขึ้นไปกอร์เนอร์การ์ดค่ะ วินเทจหน่อยๆ แต่ก็คลาสสิคดี

ระหว่างทางก็จะเป็นทางชันลัดเลาะขึ้นเขาไปเรื่อยๆค่ะ ข้างทางยังเป็นหิมะเต็มไปหมดเลย

เก็บวิวสวยๆข้างทางมากฝากค่ะ แม้รถไฟจะช้าหน่อย แต่เราไม่ได้รีบอะไร นั่งดูวิวเพลินจะตายไปค่ะ

นั่งรถไฟผ่านเจ้านี่เข้าค่ะ หน้าตามันเหมือนยานแม่เนอะ ยิ่งอยู่ในหุบเขากลางทุ่งหิมะแล้วยิ่งเหมือนค่ะ
แต่จิงๆแล้วไม่ใช่นะคะ มันคือสกีลิฟท์แหละ

เย้!!!! เห็นแล้ว ภูเขาทอปบาโรนของเรา

พอถึงสถานีสุดท้ายที่กอร์เนอร์การ์ด ที่นี่ไม่มีอะไรมากค่ะ เป็นจุดชมวิว มีร้านอาหาร ร้านขายของ และก็โรงแรม
เราจะอยู่เดินเล่นชมมัธเทอร์นฮอร์นที่นี่กันให้หนำใจทั้งวันเลยค่ะ

ถ้าใครอยากจะไปปืนมัธเทอร์ฮอร์นจะต้องพลังเยอะหน่อยนะคะ เพราะมันไม่มีรถไฟหรือว่าเคเบิ้ลคาร์ขึ้นไปค่ะ
ต้องอาศัยพลังตัวเองปืนขึ้นไป เด็กผู้หญิงอย่างเรา มองดูแค่นี้ก็มีความสุขแล้วเนอะ


เอามาถ่ายคู่กันซะเลยชอคโกแลตสามเหลี่ยมทอปบาโรน กะภูเขามัธเทอร์ฮอร์น
พอถ่ายเสร็จแล้วเราก็ทานชอคโกแลตพวกนี้แหละเป็นอาหารกลางวันค่ะ
 บาร์สีฟ้าเป็นอะไรที่อร่อยมาก รสอัลมอนต์มีขายที่สวิสเซอร์แลนด์เท่านั้นนะคะ


ก่อนกลับลงไปที่แซมัธจัดพาโนราม่ามัธเทอร์ฮอร์นกะภูเขาข้างๆและก็กำแพงหิมะซักรูปค่ะ



หลังจากที่เล่นหิมะกลางแดดร้อนจัดแบบนี้ไปหลายชั่วโมง แสงแดดที่สะท้อนกับหิมะทำให้ผิวเราเปลี่ยนสีจากแทนอยู่แล้ว เป็นแทนมากๆไปเลยค่ะ ได้เวลากลับไปแซมัธแล้วก่อนที่รถไฟจะหมดแล้วเราจะต้องนอนหนาวอยู่ข้างบนนี้ ขากลับเราก็ใช้ตั๋วใบเดิมนี่แหละค่ะ เป็นตั๋วไป-กลับใช้ได้ทั้งวันขึ้นลงสถานนีไหนก็ได้ ถ้ามาเที่ยวหน้าร้อน เราแนะนำให้ลงที่สถานี "Riffelberg" ด้วยนะคะ เพราะจากตรงนั้นจะเห็นวิวมัธเทอร์ฮอร์น อีกมุมนึงที่สะท้อนกับทะเลสาบ "Riffelsee" ค่ะ แต่เสียดายครั้งนี้ที่เรามาทะเลสาบยังไม่ละลายเพราะยังอยู่ในช่วงวินเทอร์อยู่ เลยอดเห็นมัธเทอร์ฮอร์นสะท้อนน้ำทะเลเลย

นั่งรถไฟจากมัธเทอร์ฮอร์นลงมาที่แซมัธกะว่าเดินเล่นในเมืองซักพักก่อนนั่งรถไฟกลับไปเบิร์นค่ะ (จริงๆแล้วควรเรียกว่าเป็นหมู่บ้านมากกว่าเพราะมันเล็กมากๆ) แซมัธก็เป็นวิลเลจท่องเที่ยวเล็กๆที่เต็มไปด้วยโรงแรมและร้านขายของที่ระลึกค่ะ คนส่วนมากมาพักที่นี่เพราะต้องการมาเล่นสกีและก็ขึ้นไปดูมัธเทอร์ฮอร์นแบบที่เราเพิ่งไปมาเนี่ยแหละค่ะ

บรรยากาศตอนเย็นๆที่แซมัธค่ะ มีนักท่องเที่ยวเดินกันให้เต็มไปหมด ร้านขายของมากมาย โรงแรมก็เยอะไม่แพ้กันค่ะ

เราว่าแซมัธเนี่ย คล้ายๆกับเชียงคานบ้านเรานะ ดูแมคโดนัลด์ที่นี่ซิเค้าอนุรักษ์ให้มันอยู่ในบ้านแบบสวิส
 เหมือนเซเว่นกะธนาคารที่เชียงคานเลยว่าป่ะ?



รถที่แซมัธเค้าใช้รถหน้าตาแบบนี้ก็ค่ะ เป็นรถไฟฟ้า ไม่ใช้น้ำมัน รักษาสิ่งแวดล้อม




ห้องสมุดในเมืองค่ะ ใครว่างๆหรือมาที่นี่แล้วฝนตก ก็เข้าไปนั่งเล่นในห้องสมุดได้นะคะ แต่วันนี้ตอนที่เรามาห้องสมุดเค้าปิดแล้วเลยอดดูว่าข้างในมีหนังสืออะไรบ้าง ก็เลยได้แต่ถ่ายรูปอย่างเดียว

จากในเมืองแซมัธก็เห็นวิวมัธเทอร์ฮอร์นได้ด้วยนะคะ  แต่ถ้าใครหาไม่เจอให้เดินไปหน้าโบสถ์ในเมืองค่ะ
แล้วก็เดินขึ้นบันไดไปสามสเตป จะได้มุมมัธเทอร์ฮอร์นตรงนี้พอดีเป๊ะ


ยิ่งเดินไปเรื่อยๆที่นี่ยิ่งเหมือนเชียงคาน พอดีไปเจอบ้านเก่าอยู่หนึ่งหลังท่ามกลางบ้านแบบสวิสยุคใหม่กว่า
อารมรณ์เหมือนบ้านเก่าที่มีจักรยานจอดอยู่หน้าบ้านที่เชียงคานตรงถนนคนเดินเลยเลยเนอะ

ในที่สุดเราก็หาภูเขาทอปบาโรนเจอจนได้ แถมยังได้ผิวสีแทนมากที่สุดกลับบ้านอีก เราสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะต้องกลับมาดูมัธเทอร์ฮอร์นสะท้อนน้ำทะเลสาบให้ได้ซักครั้งตอนซัมเมอร์ค่ะ แต่วันนี้ขอกลับบ้านไปอาบอาฟเตอร์ซันก่อนค่ะ แดดร้อนจริงๆค่ะ